SEARCH

ข่าวประชาสัมพันธ์

สอวช. ปลื้ม แพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง “STEMPlus” คว้ารางวัลเลิศรัฐ ระดับดีเด่น ประจำปี 2566ประเภทบริการตอบโจทย์ตรงใจ ตอบเป้าหมายการพัฒนากำลังคนสู่อนาคต

8 กันยายน 2566 47

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) นางสาวภาณิศา หาญพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมอุดมศึกษาและการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต พร้อมตัวแทนพนักงาน สอวช. เข้ารับมอบรางวัลเลิศรัฐ ประเภทบริการตอบโจทย์ตรงใจ ระดับดีเด่น ประจำปี 2566 จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) โดยโครงการที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้คือ “แพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงตอบการลงทุนของภาคผลิตและบริการ” หรือ แพลตฟอร์ม STEMPlus ดร.กิติพงค์  กล่าวว่า นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของ สอวช. ที่ กพร. ได้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ให้กับเรา ทีมงานทุกคนทุ่มเทและตั้งใจที่จะสร้างแพลตฟอร์ม STEMPlus ขึ้นมา ให้เป็นแพลตฟอร์มให้บริการขนาดใหญ่รองรับความต้องการด้านกำลังคนให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยรวบรวมหลักสูตรฝึกอบรมพัฒนากำลังคน ตอบโจทย์ตามความต้องการของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เน้นการส่งเสริมการปรับทักษะ ยกระดับทักษะ (Reskill Upskill) และจับคู่กำลังคนไปสู่การทำงานและการประกอบอาชีพ ตอบโจทย์ 3 กลุ่ม สำคัญ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการ สามารถนำค่าใช้จ่ายการจ้างงานบุคลากรด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม (STEM)  ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ผ่านการรับรองไปขอลดหย่อนภาษีได้ 150% ซึ่งปัจจุบันมีการขอรับรองการจ้างงานแล้ว 4,446 ตำแหน่งงาน จาก 105 บริษัท นอกจากนี้สถานประกอบการที่ส่งบุคลากรเข้ารับฝึกอบรมในหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจาก อว. สามารถขอลดหย่อนภาษีได้ 250% ซึ่ง STEMPlus ได้รวบรวมรายชื่อหลักสูตร จำนวน 691 หลักสูตร จาก 70 หน่วยฝึกอบรม ซึ่งมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมแล้ว 55,130 คน โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาคนให้ได้ 100,000 คน ภายในปี 2567 กลุ่มที่ 2 นักศึกษาและบุคคลทั่วไป จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มโอกาสการได้ทำงานที่ต้องการและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็น โดยปัจจุบันยังได้มีนวัตกรรมการศึกษาในรูปแบบการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา หรือ Higher Education Sandbox เกิดขึ้นจำนวน 11 โครงการ ซึ่งสามารถผลิตกำลังคนที่สอดคล้องตามความต้องการได้อย่างน้อย 20,000 คนภายในปี 2575 และในกลุ่มที่ 3 ตอบโจทย์หน่วยฝึกอบรม ให้ได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมที่ตอบโจทย์ตามความต้องการในหลากหลายสถานการณ์

⚡️สัมมนาฟรี⚡️ สร้างตัวตน Influence คน ด้วย Personal Branding ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ฟรี (จำนวนจำกัด)❗️

8 กันยายน 2566 69

⚡️สัมมนาฟรี⚡️ สร้างตัวตน Influence คน ด้วย Personal Branding ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ฟรี (จำนวนจำกัด)❗️ > สนใจลงทะเบียนคลิกเลย การจะเป็นคนทำงานที่ทุกองค์กรต้องการตัว น่าเชื่อถือ มีความมั่นใจ สามารถพูดและโน้มน้าวให้ทุกคนร่วมมือได้ "ไม่ง่าย" แต่สามารถพัฒนาได้ ต้องเริ่มจากการมี Personal Branding ที่แข็งแกร่ง เรียนรู้เทคนิคการ Influence คน ผ่าน Personal Branding กับ อ.วราลักษณ์ สมัญญากุล (ครูแอน) โค้ชและที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ ที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์โค้ชนานาชาติ (ICF)    

STEM One-Stop Service (STEM OSS) แนะนำแพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงและสิทธิประโยชน์ด้านการพัฒนากำลังคน ภายในงาน AgroFex2022 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช จ.นครราชสีมา

6 ธันวาคม 2565 426

  เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา คณะทำงาน STEM-OSS โดย นางสาวภาณิศา หาญพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมอุดมศึกษาและพัฒนาทักษะแห่งอนาคต สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้ร่วมกับ ดร.สวนิตย์ บุญญาสุวัฒน์ คณะทำงาน BCG Model สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “Thailand Plus Package การสนับสนุนทุนพัฒนาทักษะ BCG” เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อน BCG ในอุตสาหกรรมระดับจังหวัด และมาตรการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะและยกระดับศักยภาพบุคลากรรองรับ BCG ในงานจัดแสดงสินค้าและเกษตรแปรรูปและอาหารที่เน้นการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวตลอดห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้ชื่องาน “AgroFlex 2022” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 4 ธันวาคม 2565 ณ Korat Hall ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช จ.นครราชสีมา เพื่อส่งเสริมให้นักอุตสาหกรรมในภาคอีสานมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ Thailand 4.0 อย่างยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าการเกษตร ลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนที่สอดรับ BCG Model ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ตามนโยบายของรัฐบาล   ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการตั้งบูทประชาสัมพันธ์รายละเอียดข้อมูลของศูนย์ประสานงานแพลตฟอร์มพัฒนากำลังสมรรถนะสูง (STEM-OSS) แก่ผู้สนใจ โดยคาดว่าจะมีบริษัทและผู้ประกอบการในระดับจังหวัดที่สนใจเข้ารับบริการจาก STEM-OSS เพิ่มมากขึ้น และเป็นขยายผลการดำเนินงานของแพลตฟอร์มให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง                

“สอวช.” โชว์ความสำเร็จ “แพลตฟอร์ม STEMPlus” มีผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร “พัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง” ทะลุ 50,000 ราย ตั้งเป้า 100,000 ราย ในปี 2567 พร้อมเดินหน้าสร้างคนรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

8 กันยายน 2566 40

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกรมสรรพากร จัดงาน “STEMPlus พัฒนาคน เสริมทัพอุตสาหกรรมไทย” ณ มิตรทาวน์ ฮอลล์ 1 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพ ทั้งนี้ ภายในงานได้จัดให้มีการเสวนาเรื่อง “การพัฒนากำลังคนเพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันด้วยวิทยาการขั้นสูง” โดย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. และ สอวช. ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการจัดทำหลักสูตรการจัดการศึกษาที่แตกต่างไปจากมาตรฐานการอุดมศึกษา (Higher Education Sandbox) หรือหลักสูตรแซนบ็อกซ์ เพื่อผลิตกำลังคนสมรรถนะสูง ดึงการลงทุนเข้ามาจากต่างประเทศ กว่า 1 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดเรามีหลักสูตรที่ผ่านการอนุมัติแล้ว 11 หลักสูตร เพื่อให้สามารถผลิตกำลังคนสมรรถนะสูงตอบโจทย์ความต้องการของประเทศได้อย่างเร่งด่วน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป ทุกประเทศต้องปรับตัว ประเทศไทยเองก็เช่นกัน มีการปรับตัวในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคการศึกษา ซึ่งเป็นต้นทางของสร้างคนตอบโจทย์ตลาดแรงงานและความต้องการของประเทศรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น อุตสาหกรรม EV อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เทคโนโลยีชีวภาพการแพทย์ เกษตรอัจฉริยะ อาหารมูลค่าสูง เทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้นักศึกษาหรือคนทำงานมีโอกาสและความเท่าเทียมกันในการพัฒนาศักยภาพทางอาชีพอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเองก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี จากการส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรม ดร.กิติพงค์  กล่าวว่า สอวช. ได้จัดทำแพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง ส่งเสริมการปรับทักษะ ยกระดับทักษะ (Reskill Upskill) และจับคู่กำลังคนสู่การทำงานและประกอบอาชีพ คือ STEMPlus (www.stemplus.or.th) ที่มีบริการให้ผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการและจ้างงานในตำแหน่งที่สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้ทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ (สะเต็ม) ที่ได้จ้างพนักงานใหม่ สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนพนักงานไปขอยกเว้นภาษีเงินได้จากกรมสรรพากรได้ 150% นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ส่งลูกจ้างเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองตามมาตรการ Thailand Plus Package ยังได้รับสิทธิประโยชน์ในการนำค่าใช้จ่ายในการอบรมไปหักภาษีได้ 250% “แพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงดังกล่าวนั้น สอวช. ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประเภทบริการตอบโจทย์ตรงใจ ประจำปี 2566 จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) โดย สอวช.จะเข้ารับรางวัลในวันที่ 7 กันยายน นับเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราอย่างยิ่ง” ผอ.สอวช. กล่าว นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในประเทศไทยในอีก 4 – 5 ปีข้างหน้า จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมแนวใหม่มากขึ้น และจะมีคลื่นการลงทุนลูกใหญ่เข้ามาในประเทศไทยเนื่องจากในภูมิภาคอาเซียนประเทศไทยมีความโดดเด่นที่สุด ส่งผลให้การลงทุนเติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวเลขครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นถึง 70% มูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 360,000 ล้านบาท นอกจากนี้ทิศทางการลงทุนด้านอิเล็กทรอนิกส์ มีโครงการที่ย้ายฐานเข้ามาในประเทศไทย 100 กว่าโครงการ มีเงินลงทุน 16,000 ล้านบาท มากกว่าในช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนถึง 7 เท่า   นางสาวเสาวคนธ์ มีแสง ผู้อำนวยการกองวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร กล่าวว่า การพัฒนาประเทศโจทย์ที่ใหญ่ที่สุดคือเรื่องคน กรมสรรพากร ได้ออกมาตรการทางภาษีเพื่อเป็นทางลัดไปสู่เป้าหมายพัฒนากำลังคนตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่างเร่งด่วน รวมถึงออกมาตรการ LTR Visa ดึงดูดกำลังคนสมรรถนะสูงจากต่างประเทศเข้ามาในไทย โดยอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่าและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 17% ด้าน ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ รองผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเพิ่มเติมว่า บริการใน STEMPlus ตอบโจทย์ 3 กลุ่ม สำคัญ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการ สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจ้างงานบุคลากร STEM ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ผ่านการรับรองไปขอลดหย่อนภาษีได้ 150% ซึ่งปัจจุบันมีการขอรับรองการจ้างงานแล้ว 4,446 ตำแหน่งงาน จาก 105 บริษัท อีกทั้งส่งบุคลากรเข้ารับฝึกอบรมในหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจาก อว. สามารถขอลดหย่อนภาษีได้ 250% ซึ่ง STEMPlus ได้รวบรวมรายชื่อหลักสูตร จำนวน 691 หลักสูตร จาก 70 หน่วยฝึกอบรม ซึ่งมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมแล้ว 55,130 คน โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาคนให้ได้ 100,000 คน ภายในปี 2567 กลุ่มที่ 2 นักศึกษาและบุคคลทั่วไป จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มโอกาสการได้ทำงานที่ต้องการและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็น โดยปัจจุบันมีนวัตกรรมการศึกษาในรูปแบบ Higher Education Sandbox เกิดขึ้นจำนวน 11 โครงการ ซึ่งจะสามารถผลิตกำลังคนที่สอดคล้องตามความต้องการได้อย่างน้อย 20,000 คนภายในปี 2575 และกลุ่มที่ 3 หน่วยฝึกอบรม ได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมที่ตอบโจทย์ตามความต้องการในหลากหลายสถานการณ์ “ปัจจุบัน กลไกการรับรองหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้าน STEM ล่าสุดได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 777 และ ฉบับที่ 778) พ.ศ. 2566 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการจ้างงานบุคลากรด้าน STEM และการพัฒนาบุคลากรในองค์กร ต่อไปอีก 3 ปี คือ พ.ศ. 2566 – 2568  คาดว่า แพลตฟอร์ม STEMPlus จะเป็นกลไกพัฒนากำลังคนรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายในระยะต่อไป โดยเฉพาะการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้น (non-degree) ให้ครอบคลุมในทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการ และบริการที่ตอบสนองนักลงทุนในทุกมิติ ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยไปอีกขั้นด้วยวิทยาการขั้นสูง” รองผู้อำนวยการ สอวช. กล่าว นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกว่า 20 หน่วยงาน เพื่อสร้างการรับรู้ถึงสิทธิประโยชน์ และกลไกสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมไทยจากภาครัฐ และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการยกระดับความสามารถของภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ให้เกิดความร่วมมือด้านการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงระหว่างผู้ประกอบการและสถาบันอุดมศึกษาแบบยั่งยืน และยังให้บริการ STEMPlus คลินิก ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนากำลังคน และแนะแนวทางเข้าถึงสิทธิประโยชน์ อาทิ มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างบุคลากรที่มีทักษะสูงและการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง (Thailand Plus Package) ชี้เป้าให้เห็นถึงหลักสูตรที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคต ตลอดจนสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการ นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่จะได้รับอีกด้วย ส่วนผู้ที่พลาดงานนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.stempluls.or.th

เปิดรับคำขอรับรองการจ้างงานฯ - รับรองหลักสูตรฝึกอบรมฯ ตามมาตรการ Thailand Plus Package ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 64 ช่วยยกเว้นภาษีเงินได้ผู้ประกอบการ 1.5 – 2.5 เท่า ของค่าใช้จ่าย

29 พฤศจิกายน 2564 1,546

ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ หรือ Thailand Plus Packageโดยยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้มีการจ้างงานบุคลากรผู้มีทักษะสูง ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ และยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรายจ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565  กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการพัฒนานโยบายสนับสนุนการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ขอเชิญชวนสถานประกอบการและหน่วยฝึกอบรมยื่นคำขอรับรองตามมาตรการภาษีเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package) ประกอบด้วย 1) บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยื่นคำขอรับรองการจ้างแรงงานลูกจ้างที่มีทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ เพื่อนำไปขอยกเว้นภาษีเงินได้ 150% ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นเงินเดือนให้แก่การจ้างงานลูกจ้างที่ได้รับการรับรอง และ 2) หน่วยฝึกอบรมที่มีหลักสูตรฝึกอบรมที่ตอบสนองความต้องการทักษะบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Future Skills Set) ยื่นคำขอรับรองเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลือกส่งลูกจ้างเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตร เนื่องจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าว สามารถนำไปขอยกเว้นภาษีเงินได้ 250% ของค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ยื่นคำขอรับรองการจ้างงานต้องประกอบกิจการที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับคุณภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน          การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการวิจัยพัฒนาเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ            ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามที่คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายประกาศ สำหรับรายละเอียดความต้องการทักษะบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ Future Skills Set รวมถึงรายละเอียดการขอรับรองทั้งหลักสูตรฝึกอบรม และการจ้างงาน สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและยื่นคำขอรับรองได้ที่ www.stemplus.or.th หรือสอบถามได้ที่ ศูนย์ประสานงานและอำนวยความสะดวกการยื่นคำขอรับรองการจ้างงานและหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ตามมาตรการ Thailand Plus Package คุณจีรภา ปุมสันเทียะ โทรศัพท์ 08-0594-2322 e-mail : jirapa.pum@kmutt.ac.th หรือ คุณวรารัตน์ อ้อยกลาง โทรศัพท์ 09-6114-9288 e-mail : wararat.oil@kmutt.ac.th

อว. ประสานความร่วมมือ บีโอไอ – สถาบันอุดมศึกษา พัฒนาแพลตฟอร์มผลิตกำลังคนนักวิทย์-วิศวกร ตอบโจทย์ความต้องการภาคเอกชนและการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ไทย

26 ตุลาคม 2564 1,200

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานปลัด อว.  สำนักงาน        สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สภาคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย และสภาคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการระบบพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศไทย” โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. อเนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว. แถลงนโยบายในประเด็น “นโยบายพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศไทย” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมเป็นสักขีพยานในโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อผลิตวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ที่มีสมรรถนะสูง ซึ่งในการเข้ามาช่วยงานอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ กระทรวง อว. เองอยากทำอะไรที่ตอบสนองภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเชิงยุทธศาสตร์ให้มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาเราทำด้าน Supply ด้านการให้ความรู้เป็นหลัก แต่โลกทุกวันนี้มีการพลิกโฉมเปลี่ยนแปลงไป เราจึงอยากขับเคลื่อนกระทรวงของเราจากทางด้าน Demand มากขึ้น ซึ่งการร่วมมือขับเคลื่อนทั้งกับ BOI และภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ จะเป็นกลไกสำคัญที่จะขยับประเทศไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ ตามแผนยุทธศาสตร์ประเทศที่กำหนดให้เห็นผลชัดเจนภายในปี 2580 หรืออีก 16 ปีข้างหน้า “เราจะไม่ทำอะไรไปเรื่อย ๆ แต่เราต้องมีหลักชัยที่ปักไว้แล้วไปคว้าให้ได้ โดยกระทรวง อว. มีหลักชัย มีเป้าหมายว่าเราต้องไปถึงประเทศที่การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) พัฒนาแล้วในอีก 10 ปีข้างหน้า อววน. ต้องเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐและสังคม ในการช่วยขยับประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วให้ได้ การจัดโครงการนี้เหมือนเป็นโบนัส มีงานให้ 20,000 งานและเป็นการผลิตกำลังคนตอบโจทย์สำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ เรามีเครื่องมือหนึ่งที่เรียกว่า Sandbox ด้านการอุดมศึกษา ที่จะสามารถปลดล็อกอะไรที่ติดขัด เป็นข้อจำกัด แล้วสังเกตดูว่าเรื่องที่ปลดล็อกทำให้ดีขึ้นหรือไม่ ถ้าดีก็อาจจะถูกผลักดันเป็นมาตรฐานทั่วไป การศึกษายุคใหม่ อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่อาจารย์ นักวิจัยอย่างเดียว ลูกศิษย์ที่จบไปต้องมีงานทำและเป็น lifelong learner เรียนจบแล้วเอาไปปฏิบัติได้ หรือในอนาคตต้องผลิตคนที่ออกไปแล้วทำงานได้เลยแบบ tailor-made” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. อเนก กล่าว หลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ยังได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “อุดมศึกษากับการพัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนการลงทุน” โดย ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. ได้ร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็น “นโยบายและทิศทางการพัฒนากำลังคนในอนาคตเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศไทยกับการสนับสนุนการพัฒนานโยบายด้านกำลังคน” โดยได้กล่าวว่า สอวช. ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนากำลังคนในอนาคตข้างหน้าที่จะมีจุดเน้นเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ ซึ่งขณะนี้ อว. มีมาตรการหลายอย่างที่สร้างคนและหลายมาตรการก็ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน โดยเราได้ทำการวิจัยรูปแบบและนโยบายการพัฒนากำลังคนว่ามีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปใน 9 ทิศทาง คือ 1) การพัฒนาคนจะค่อยๆ เปลี่ยนจากการพัฒนาฝั่ง Supply Side ไปสู่ระบบการทำงานใหม่ที่เป็น Co-Creation ที่ผู้ผลิตคนและผู้ใช้ประโยชน์มาร่วมกันจัดตั้งแพลตฟอร์ม และร่วมพัฒนาคน ทั้งในเชิงการทำงานและการลงทุนร่วมกัน 2) สมัยก่อนคนมาศึกษาเพื่อให้ได้ปริญญาบัตรไป แต่ในอนาคตจะเริ่มมองถึงเรื่องการมีงานทำ การมีอาชีพ เปลี่ยนจาก Degree-based เป็น Ability Oriented 3) ระบบการสร้างคน จะเปลี่ยนจากการผลิตแบบ Content-Based เน้นเรียนเนื้อหา เป็น Competency-Based เน้นไปที่ความสามารถ ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้เท่านั้น แต่เรียนเพื่อทำได้ด้วย 4) เมื่อก่อนเราใช้ชีวิตแบบ เกิดมา เรียนหนังสือ ทำงาน เกษียณ แต่อนาคตการศึกษาจะตอบโจทย์เรื่อง Multi-stage Life ชีวิตหลากหลายขั้นมากขึ้น วงจรของการศึกษาเปลี่ยนไป แทนที่จะผลิตเด็กตามเวลา 4 ปี ก็จะดูแลประชากรในวัยทำงาน วัยเกษียณด้วย 5) การปรับจาก Individual Institution มาเป็นระบบการทำ Credit Bank มากขึ้น ซึ่งหลายมหาวิทยาลัยเริ่มทำแล้วในตอนนี้ และในอนาคตก็จะมี National Credit Bank เกิดขึ้นด้วย 6) เรื่องของการ Reach access/Open access เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาดูว่ามหาวิทยาลัยทำอะไรอยู่บ้าง และเข้ามามีส่วนร่วมกับทุกขั้นตอนของมหาวิทยาลัย 7) เปลี่ยนจาก Local perspective ไปสู่ Global มากขึ้น การสร้างเมืองให้เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพไปสู่ระดับสากล8) เปลี่ยนจากการกระจุกไปสู่การกระจายโอกาส ในการเข้าถึงการอุดมศึกษาได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง 9) ระบบการเงิน (Finance) ของมหาวิทยาลัยในอนาคต กำลังมีการพูดคุยกันค่อนข้างมาก จากที่เป็นการจัดสรรเงินอุดหนุนผ่านด้านอุปทาน (Supply Side Financing) ตามจำนวนของเด็กในมหาวิทยาลัย จะเปลี่ยนไปสู่การดูว่าในอนาคตมหาวิทยาลัยจะผลิตคนเพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจได้อย่างไร เรียกว่าเป็น Demand Directed Financing คือการใช้ความต้องการมากำหนดการให้เงินสนับสนุน โดยทั้ง 9 ทิศทางข้างต้นเป็นเทรนด์สำคัญที่ สอวช. กำลังทำงานในส่วนนี้ เพื่อให้สุดท้ายออกมาเป็นนโยบายที่จะขับเคลื่อนผลักดันตามแนวทางได้ต่อไป นอกจากนี้ ในเวทีเสวนายังได้รับเกียรติจากผู้ร่วมเสวนาอีกหลายท่านที่ได้มาแลกเปลี่ยนในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. ได้กล่าวถึงนโยบายของกระทรวง ตามที่มีการกำหนดปรัชญาอุดมศึกษาใหม่ มีใจความสำคัญคือการพัฒนาคนแบบ Lifelong Learning การพัฒนาสมรรถนะของคน รวมถึงการพัฒนากำลังคนร่วมกับภาคส่วนอื่น ๆ ซึ่งในปัจจุบันกระทรวงมีความพยายามที่จะพัฒนาหลักสูตรเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) ด้านนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการ BOI กล่าวถึงปัจจัยด้านกำลังคนที่ส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุน ความเร่งด่วนในการผลิตและพัฒนากำลังคน อาทิ ช่างเทคนิค นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร หรือนักวิจัย รวมถึงสิทธิประโยชน์จาก BOI เช่น มาตรการสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันเพื่อพัฒนาบุคลากรทักษะสูงโดยภาคอุตสาหกรรม, เงินสนับสนุนการฝึกอบรม Advanced Technology Training เป็นต้น ด้านสภาคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทยและสภาคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่ผลิตบัณฑิตปริญญาตรีในสายงานวิศวกรรมศาสตร์และสายวิทยาศาสตร์ สายงานละกว่า 3 หมื่นคนต่อปี มองว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีความเชี่ยวชาญในการเรียนการสอนในบริบทที่ต่างกัน โดยมีความมุ่งหวังว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรและความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อตอบโจทย์การผลิตกำลังคนสู่ภาคอุตสาหกรรมได้ในอนาคต ดร. สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานความร่วมมือสหกิจศึกษาโลก (WACE) และรองประธานฯ ฝ่ายปฏิบัติการฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้แลกเปลี่ยนถึงหัวใจสำคัญของภาคการศึกษา ว่าต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน แบบ Co-creation ฝั่งผู้ใช้ที่มีความต้องการต้องเข้ามาร่วมกับฝ่ายผลิตที่เป็นสถาบันการศึกษาตั้งแต่ต้น ซึ่งการเรียนแบบ Co-creation นับเป็นการใช้ความรู้แบบขาออกด้วย คือ การนำเอาความรู้ ทักษะที่มีไปใช้ในการทำงานจริง ด้าน รศ. ดร. จิรารัตน์ อนันตกูล หัวหน้าศูนย์ประสานงานและบริการเบ็ดเสร็จ (STEM One-Stop Service) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงบทบาทของศูนย์ประสานงานฯ ที่จะเข้ามาเป็นจุดเชื่อมโยง ช่วยเหลือด้านการจัดหา ผลิต และพัฒนากำลังคนให้กับผู้ประกอบการ มีบทบาทหน้าที่ในการประสานงาน เชื่อมโยงฝั่ง Demand และฝั่ง Supply วิเคราะห์ความต้องการ และบริหารจัดการข้อมูล ที่ให้ภาคเอกชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย โดยโปรแกรมที่ศูนย์ประสานงานฯ จะช่วยเชื่อมโยงให้เกิดขึ้นได้ ได้แก่ Job Positioning, Reskill/Upskill ให้แก่บุคลากรขององค์กร, Co-Creation รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ Industrial Training Center (ITC) ---------------------------------------- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) โทรศัพท์ 02 109 5432 ต่อ 730 มือถือ 08-0441-5450 (วรรณพร) 06-4474-1696 (กชวรรณ) Email: pr@nxpo.or.th / Website: www.nxpo.or.th / Facebook: https://www.facebook.com/NXPOTHAILAND/

สอวช. ร่วมกับ สำนักเคเอกซ์ มจธ. เปิดตัวแพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงด้านสะเต็ม พร้อมต่อยอดเฟส 2 ดึงเครื่องมือวัดสมรรถนะจากญี่ปุ่นช่วยคัดเลือกพนักงานก่อนเข้าทำงานจริง

25 ตุลาคม 2565 253

(12 ตุลาคม 2565) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับสำนักเคเอกซ์ (Knowledge Exchange: KX) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จัดงานเปิดตัว STEM One-Stop Service (STEM OSS) แพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง ณ อาคารเคเอกซ์ ชั้น 17 ลาน X-CITE SPACE และการถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ โดยมี ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สอวช. เป็นผู้กล่าวเปิดงานดร.พูลศักดิ์ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นที่ สอวช. ได้ร่วมกับหลายหน่วยงาน จัดทำแพลตฟอร์ม STEM OSS ขึ้นมา สืบเนื่องจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามทางการค้า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในห่วงโซ่อุปทานหรือห่วงโซ่คุณค่าด้านการผลิต ประเทศไทยจึงต้องมีการปรับตัวและพัฒนาในแง่ของการขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในมิติเรื่องกำลังคน จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้น ส่งผลกระทบด้านการลงทุนในประเทศ ที่นักลงทุนต้องมีการตัดสินใจว่าจะเข้ามาลงทุนในไทยหรือย้ายฐานการผลิตไปในประเทศอื่น คำถามสำคัญที่ตามมาคือเรื่องของกำลังคนที่จะต้องพร้อมรองรับและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนักลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาเราอาจจะไม่ได้มีกลไกในการช่วยสนับสนุนหรือช่วยจับคู่ สร้างหรือผลิต พัฒนากำลังคนให้ตอบโจทย์ความต้องการและร่วมมือกับนักลงทุน หรือในกลุ่มนักลงทุนเดิมในประเทศ ที่ต้องการขยายกำลังการผลิตหรือขยายกิจการ ต้องการเลือกเฟ้นหาบุคลากรมากขึ้น แต่ยังไม่มีแนวทางที่จะเข้าถึงกำลังคนเหล่านี้ จึงเป็นที่มาที่เราต้องสร้างกลไกที่จะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการ และยังช่วยตอบโจทย์บัณฑิต เยาวชนคนรุ่นใหม่ของเรา ให้ได้มีอาชีพ มีงานที่ดี ตรงกับความต้องการสำหรับแพลตฟอร์ม STEM OSS เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สภาคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย สภาคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย และ สอวช. เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการผลิตและพัฒนากำลังคนที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการพัฒนากลไกเพื่อเชื่อมโยงความสามารถในการผลิตกำลังคนสมรรถนะสูง จากสถาบันอุดมศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน และการร่วมกับภาคเอกชนในการวางแผนการพัฒนากำลังคนทักษะสูงในสาขาเฉพาะเจาะจงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงสามารถดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น“มาตรการสนับสนุนของภาครัฐ ในช่วงที่ผ่านมีมาตรการส่งเสริมจากกรมสรรพากร ทั้งในแง่การดึงดูดให้มีการจ้างงานกำลังคนด้านสะเต็ม รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในเชิงการฝึกอบรมผ่านหลักสูตรด้านสะเต็ม ซึ่ง STEM OSS ก็จะเข้าไปช่วยอำนวยความสะดวกในการคัดสรรหลักสูตรที่ผ่านมาตรฐานให้ได้รับการรับรอง และเปิดให้สถานประกอบการส่งบุคลากรเข้าไปฝึกอบรม และนำค่าใช้จ่ายในการจ้างงานและการฝึกอบรม ไปขอยกเว้นภาษีเงินได้กับทางกรมสรรพากรได้ โดยปัจจุบันมีหลักสูตรที่ผ่านการรับรองแล้วกว่า 472 หลักสูตร มีบุคลากรได้รับการพัฒนาไปแล้วกว่า 15,388 คน มีการจ้างงานกำลังคนด้านสะเต็มและผ่านการรับรองจาก สอวช. แล้ว 894 ตำแหน่ง และเชื่อว่าในอนาคตจะมีการจ้างงานกำลังคนด้านสะเต็มเพิ่มมากขึ้น” ดร.พูลศักดิ์ กล่าวในการก้าวเข้าสู่เฟสที่ 2 ของแพลตฟอร์ม STEM OSS ต้องมองถึงการพัฒนามาตรการส่งเสริมการสร้างประสิทธิภาพ สร้างกระบวนการในการผลิตและพัฒนากำลังคนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสำนักเคเอกซ์ก็ได้นำเครื่องมือ Progress Report on Generic Skills (PROG) ที่ใช้ในการวัดและประเมิน Soft Skill จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้ เพื่อช่วยผู้ประกอบการในการตัดสินใจคัดเลือกพนักงานก่อนเข้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการประเมินใน 3 ทักษะหลักคือ ทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะส่วนบุคคล และทักษะในการแก้ปัญหา ซึ่ง PROG จะเข้ามาช่วยในการสรรหาบุคลากรเข้าทำงาน โดยเฉพาะทักษะด้านคนหรือด้านสังคม ช่วยในการพัฒนาบุคลากร อีกทั้งยังช่วยในการจัดทำแผนพัฒนารายบุคคลได้ โดยตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนาการใช้แพลตฟอร์มในเฟส 2 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา มีการนำเครื่องมือ PROG มาช่วยจับคู่สถานประกอบการกับผู้สมัครงานไปแล้วรวม 19 ตำแหน่ง เป็นตำแหน่งทางด้านวิทยาศาสตร์ 1 ตำแหน่ง ด้านเทคโนโลยี 5 ตำแหน่ง ด้านวิศวกรรมศาสตร์ 12 ตำแหน่ง และด้านคณิตศาสตร์ 1 ตำแหน่ง เมื่อมองในภาพรวมการพัฒนาแพลตฟอร์ม STEM OSS ขึ้นมาจึงถือเป็นพลังสำคัญให้กับผู้ประกอบการ ในการทำความร่วมมือกับภาคการศึกษาในการพัฒนากำลังคน และช่วยตอบโจทย์ประเทศเพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศที่พ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ นายวรรณภพ กล่อมเกลี้ยง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักเคเอกซ์ และหัวหน้าศูนย์ประสานงานและบริการเบ็ดเสร็จ STEM OSS ยังได้แนะนำให้เห็นภาพรวมบริการของแพลตฟอร์ม ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มนักศึกษาหรือบุคคลทั่วไป โดยในกลุ่มผู้ประกอบการ สามารถแจ้งความประสงค์ความต้องการกำลังคน ค้นหาหลักสูตรฝึกอบรมที่ผ่านการรับรองจาก อว. และขอรับรองการจ้างแรงงานลูกจ้างที่มีทักษะสูงด้านสะเต็มได้ ส่วนของกลุ่มนักศึกษาหรือบุคคลทั่วไป สามารถฝากประวัตสำหรับการสมัครงานหรือเข้าร่วมโครงการ ค้นหาหลักสูตรฝึกอบรมที่ผ่านการรับรองจาก อว. และประเมินสมรรถนะทางอาชีพสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายได้ โดย STEM OSS จะช่วยประสานงานจับคู่การจ้างงานบุคลากรสมรรถนะสูงให้แก่สถานประกอบการ ประสานงานการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะให้แก่บุคลากรภายในองค์กร สร้างความร่วมมือในการผลิตบุคลากร ระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม ประสานงานให้เกิดการจัดตั้งศูนย์ Industrial Training Center (ITC) และประสานงานด้านข้อมูลสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการสร้างความร่วมมือผ่านแพลตฟอร์ม ด้านนางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้กล่าวถึงมาตรการส่งเสริมของ BOI โดยเฉพาะในกลุ่มประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุน หมวดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่มีรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ทั้งสิทธิประโยชน์พื้นฐานและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม STEM OSS เช่น มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้ให้กับกลุ่มกิจการที่มีการวิจัยและพัฒนา การฝึกอบรมหรือฝึกการทำงานนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ ยังมีมาตรการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD) ที่จะช่วยเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับกิจการที่เกี่ยวข้องหรือมีเงื่อนไขตรงตามที่กำหนด ให้สามารถขอยกเว้นภาษีเงินได้ได้เช่นเดียวกัน เช่น กิจการสถานฝึกฝนวิชาชีพ สถานศึกษาหรือสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูง หรือศูนย์บ่มเพาะด้านนวัตกรรม การจัดโครงการสนับสนุนสถาบันการศึกษา เป็นต้น สำหรับผู้ที่สนใจเข้าใช้งานแฟลตฟอร์ม STEM OSS สามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บไซต์ https://stemplus.or.th/ ----------------------------------------   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ(สอวช.) โทรศัพท์ 02 109 5432 ต่อ 419 มือถือ 06-4474-1696 (กชวรรณ) Email: pr@nxpo.or.th / Website: www.nxpo.or.th / Facebook: https://www.facebook.com/NXPOTHAILAND/          

สอวช. จัดเต็มเปิด 95 หลักสูตรพัฒนาบุคลากรด้านสะเต็ม รองรับความต้องการทั้งปัจจุบันและอนาคต พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกอบการยกเว้นภาษีได้มากถึง 250%

21 เมษายน 2565 988

               ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยละนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เปิดเผยว่า ตัวเลขจำนวนหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือสะเต็ม (STEM) เติบโตขึ้นมาก จากการที่ทั้งภาคมหาวิทยาลัย สถาบันอบรมทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจผลิตหลักสูตรและผ่านการรับรองตามมาตรการ Thailand Plus Package ซึ่งล่าสุดมีหลักสูตรที่ผ่านการรับรองแล้วกว่า 95 หลักสูตร จากหน่วยฝึกอบรมชั้นนำ ทั้งมหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชน รวม 12 แห่ง โดยแต่ละหลักสูตรมีความสอดคล้องกับความต้องการบุคลากรของอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Future Skills Set) ใน 13 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับคุณภาพ, อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, อุตสาหกรรมอาหารเพื่ออนาคต, อุตสาหกรรมหุ่นยนต์, อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์, อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ, อุตสาหกรรมดิจิทัล, อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร, อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ, อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน, และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการวิจัยพัฒนาเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย                          ตัวอย่างหลักสูตรที่น่าสนใจ เช่น หลักสูตร Storytelling for Brands in the Digital Age, หลักสูตร Fintech Fundamentals, หลักสูตร Data Analytics “เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล”, หลักสูตรการวิเคราะห์ผลผลิตที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างทันท่วงที, หลักสูตรกลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสในตลาดสากล, หลักสูตรพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านบูรณาการอุปกรณ์ควบคุมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในงานอุตสาหกรรม เป็นต้น                   โดยผู้ประกอบการที่ส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรที่ผ่านการรับรอง สามารถนำไปขอยกเว้นภาษีเงินได้ถึง 250% ของค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมลูกจ้าง นอกจากนี้หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมายและมีการจ้างงานบุคลากรที่มีทักษะสูงในด้านสะเต็ม สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนของพนักงานไปขอยกเว้นภาษีเงินได้จากกรมสรรพากรได้ 150%            ในส่วนรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับการจ้างแรงงานลูกจ้างที่มีทักษะสูงด้านสะเต็ม และการส่งลูกจ้างเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมหรือการจัดฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้าง เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านสะเต็ม สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ ฉบับที่ 422 และฉบับที่ 423 ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถยื่นคำขอรับรองหลักสูตรฝึกอบรม ขอรับรองการจ้างงาน หรือเข้าดูหลักสูตรฝึกอบรมที่ผ่านการรับรองแล้ว พร้อมศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.stemplus.or.th    

ทักษะมนุษย์-แรงงานที่จำเป็นสำหรับประเทศไทยในโลกหลังโควิด-19

18 ตุลาคม 2564 724

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ การใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม นอกจากการเรียนรู้ในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราต้องให้ความสนใจหลังจากนี้จึงเป็นเรื่องของการเตรียมพร้อมสู่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหลังจากโควิด-19 หมดไปด้วย สอวช. จึงได้รวบรวมข้อมูลมาให้ทุกคนได้ทราบกันว่า ในโลกหลังโควิด-19 มีทักษะมนุษย์หรือทักษะแรงงานอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย ในประเด็นเรื่องงานในอนาคต หรือ Future of Work ในยุคหลังโควิด-19 ดร. กาญจนา วานิชกร รองผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยรายละเอียดจากการศึกษาวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลของ สอวช. ว่า บริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น รูปแบบวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นแบบหลายช่วง (Multistage life) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างฉับพลัน (Disruptive technology) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (Demographic change) ที่เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความต้องการกำลังคนรูปแบบใหม่ที่มีทักษะและความรู้ที่สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมและรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ เป็นตัวเร่งให้ภาคเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัลมากขึ้น มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบทางไกล และการเติบโตของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ที่มากขึ้นตามไปด้วย จากผลกระทบดังกล่าว World Economic Forum (WEF) ได้ประมาณการว่า ภายในปี พ.ศ. 2568 จะมีงานประมาณ 85 ล้านตำแหน่งถูกทดแทนด้วยเครื่องจักร แต่ก็จะมีงานใหม่เพิ่มขึ้น 97 ล้านตำแหน่ง โดยอาชีพแห่งอนาคตส่วนใหญ่จะเป็นงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูล ระบบอัตโนมัติ และจะเป็นการผสมผสานระหว่างทักษะด้านดิจิทัลและการคิดวิเคราะห์ของมนุษย์ซึ่งเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติได้ ทั้งนี้อัตราการแพร่กระจายของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วมากขึ้น ยิ่งทำให้การคาดการณ์ความต้องการทักษะงานทำได้ยากขึ้น และทักษะจะยิ่งล้าสมัยได้เร็วขึ้น สำหรับตำแหน่งงานที่มีความสำคัญโดยเฉพาะภายหลังโควิด-19 ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์และนักวิเคราะห์ข้อมูล, ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจักร, ผู้เชี่ยวชาญด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรหุ่นยนต์, นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน, ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล, ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการระบบอัตโนมัติ, นักวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัย, ผู้เชี่ยวชาญด้าน Internet of things ซึ่งเป็นตำแหน่งงานที่เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่หลายหลาย อาทิ ระบบอัตโนมัติ, เทคโนโลยีคลาวด์, ข้อมูลขนาดใหญ่, Internet of things, การเข้ารหัสข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์, ปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น สอวช. ยังได้สำรวจข้อมูลตำแหน่งงานและสมรรถนะงานสำคัญที่เป็นที่ต้องการสำหรับ 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย ในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2563 – 2567) โดยมุ่งเน้นตำแหน่งงานที่ใช้ทักษะสูง และตำแหน่งงานรูปแบบใหม่ และคำนึงถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้าประเทศไทยมีความต้องการบุคลากรทักษะสูงใน 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายรวมกว่า 170,000 คน โดยตัวอย่างตำแหน่งงาน เช่น นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist), Crop Modelling Analyst ในอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นกำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญในวิทยาการสมัยใหม่ในลักษณะข้ามศาสตร์ และแบบสหวิทยาการ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Specialist) ในการท่องเที่ยวกลุ่มผู้มีรายได้สูงและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สำหรับทักษะแห่งอนาคต ที่จะสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่รุดหน้า WEF ได้คาดการณ์ทักษะที่มีความต้องการมากที่สุดทั่วโลก 15 อันดับแรก ภายในปี 2025 ได้แก่ 1) Analytical thinking and innovation 2) Active learning and learning strategies 3) Complex problem-solving 4) Critical thinking and analysis 5) Creativity, originality and initiative 6) Leadership and social influence 7) Technology use, monitoring and control 8) Technology design and programming 9) Resilience, stress tolerance and flexibility 10) Reasoning, problem-solving and ideation 11) Emotional intelligence 12) Troubleshooting and user experience 13) Service orientation 14) Systems analysis and evaluation 15) Persuasion and negotiation การเตรียมกำลังแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดงานยังต้องคำนึงถึงการสร้างภูมิคุ้มกัน ให้แรงงานมีทักษะและความรู้ที่หลากหลาย ยืดหยุ่น สามารถปรับตัวรองรับความต้องการของตลาดงานที่ถูกกระทบด้วยภาวะวิกฤตต่าง ๆ ได้ โดยทักษะที่จะมีความจำเป็นและเป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจ เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาและสร้างความเข้าใจ เพื่อมาเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติ, ทักษะด้านดิจิทัล การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อรองรับการทำธุรกิจออนไลน์, ทักษะการใช้ซอฟต์แวร์ประชุมและการนำเสนองานผ่านออนไลน์ การใช้คลาวด์ เพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้าน, รวมถึงทักษะ soft skill อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น ความสามารถในการยืดหยุ่นและการปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงนวัตกรรม นอกจากนี้ยังมีทักษะที่สำคัญแห่งโลกอนาคตอื่น ๆ  ได้แก่ การสร้างความเข้าใจในเชิงลึก ความฉลาดในการเข้าสังคม ความคิดแปลกใหม่และการประยุกต์ใช้ การทำงานกับคนต่างวัฒนธรรมที่หลากหลายได้ ความคิดเชิงประมวลผลหรือเชิงระบบ ความเข้าใจและตามทันโลกยุคสื่อดิจิทัล ความสามารถในการคิดออกแบบสร้างสรรค์งาน การจัดการบริหารการรับรู้ ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่เพียงแต่วงการทำงานเท่านั้นที่ประชาชนต้องเตรียมปรับตัวเพิ่มทักษะเพื่อรองรับการทำงานหลังโควิด-19 วงการศึกษาไทยก็ต้องมีการปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ในครั้งหน้า สอวช. จะพาไปถอดบทเรียนการศึกษาไทยกันบ้างว่าต้องปรับตัวอย่างไรให้สามารถขยับเท่าทันโลกได้ รอติดตามข้อมูลที่น่าสนใจได้ทางแฟนเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ สอวช. ที่มาของข้อมูล : The Future of Jobs Report 2020, World economic forum รายงานการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ปี 2564 (หัวข้อความต้องการกำลังคนคุณภาพรองรับ Disruption สมรรถนะบุคลากรในอนาคตสำหรับ 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Talent landscape), สอวช.รายงานการศึกษา เรื่อง การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) เพื่อรองรับการพลิกโฉมฉับพลันและวิกฤตการณ์โลก

เว็บไซต์ มีการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็มไซต์ (Cookies) เพื่อพัฒมาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่